วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2564

APP วางแผนการเงิน

แนะนำ แอพรายรับรายจ่าย ที่จะช่วยให้การเก็บออมเงิน จดบันทึกว่าในแต่ละะวัน แต่ละเดือน เราเสียค่าใช้จ่ายอะไรไปบ้าง ให้เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ง่ายขึ้น

  1. Wallet
  2. Fast Budget
  3. MeTang
  4. Money Diary
  5. Spendee Budget & Money Tracker
  6. Household account book
  7. Piggipo
  8. Wallet Story Expense Manager
  9. Money Lover
  10. Money Manager Expense & Budget
  11. Save Money Daily
  12. Oh My Cost

1. Wallet


มีหน้าตาที่เรียบง่ายมาก ๆ  หน้าแรกของแอพก็จะมีการบอกข้อมูลสรุปรายรับรายจ่ายของเราทั้งหมด และเราสามารถที่จะกดเพิ่มข้อมูลได้ในหน้านั้น ช่วยให้การใช้งานนั้นสะดวกมาก ๆ เหมาะกับใครที่ไม่ชอบความยุ่งยาก ไม่ต้องคอยกดเมนูโน่นนี่ให้วุ่นวาย และนอกจากที่ตัวแอพจะมีสรุปรายรับรายจ่ายของเราไว้แล้วนั้น ก็ยังมีแผนการใช้เงินที่เราได้วางไว้ให้ดูด้วย ว่าเราจะใช้เงินไปทำอะไรบ้าง สำหรับในส่วนของเมนูก็จะมีฟีเจอร์ให้เราเลือกใช้อยู่เยอะพอสมควร เช่น การเก็บสถิติของการใช้งาน การวางแผนด้านการใช้จ่าย งบประมาณ เป้าหมายในการใช้เงินที่เราวางไว้ รายการช้อปปิ้ง รวมไปถึงการเชื่อมต่อกับธนาคาร โดยจะมีธนาคารให้เลือกอยู่ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารทหารไทย ฯลฯ ทำให้ยิ่งสามารถจัดการเกี่ยวกับการเงินได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก ตัวแอพจะต้องเข้าสู่ระบบก่อนการใช้งานทุกครั้ง ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกปลอดภัยและวางใจได้ว่าจะไม่มีใครมาแอบดูรายรับรายจ่ายของเราได้แน่นอน


2. Fast Budget


เป็นแอพยอดนิยม มีผู้ใช้งานกว่าล้านคน มีฟีเจอร์ที่ครบครัน ทั้งการใช้งานทั่วไป ไปจนถึงการใช้งานที่ยกระดับขึ้น ต้องใช้ข้อมูลทางด้านการเงินประกอบ เรียกได้ว่าแอพเดียวตอบโจทย์ครบ ทั้งผู้ใช้งานมือใหม่และผู้ใช้งานที่มีความรู้ด้านการเงินอยู่แล้ว เราสามารถเพิ่มได้ทั้งรายรับ รายจ่าย รวมไปถึงการโอนเงิน การทำธุรกรรมทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นบัญชี หรือเครดิตการ์ด โดยจะมีสรุปให้เราอยู่ในหน้าแรกของแอพเลย แถมยังมีสรุปเป็นรายเดือนให้ดูด้วย และยังมีการวางแผนงบประมาณที่จะใช้จ่าย พร้อมการจัดการกับหนี้สินของผู้ใช้ ทำให้การตัดสินใจทางด้านการเงินดูเป็นเรื่องง่ายขึ้น ตัวแอพยังมีลูกเล่นอย่างการเปลี่ยนสีข้อมูลรายการได้ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดแบ่งข้อมูล ทั้งยังทำให้เราสามารถดูข้อมูลได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น



3. MeTang

เป็นแอพของคนไทย รองรับการใช้งานภาษาไทย ทำให้เราสามารถเข้าใจข้อมูลและอ่านข้อมูลได้ง่าย มีฟีเจอร์การใช้งานพื้นที่ฐานที่ครบ สามารถที่จะสร้างได้หลายบัญชี มีการเก็บข้อมูลรายรับ รายจ่าย ที่ชัดเจน โดยจะแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ทำให้ผู้ใช้งานเข้าใจได้ง่าย มีกราฟสำหรับสรุปผลการใช้จ่ายของเราให้ดู สามารถเลือกแบ่งหมวดหมู่ได้หลากหลาย และสามารถเพิ่มหมวดหมูได้เอง นอกจากนี้เรายังสามารถสร้างบัญชีบัตรเครดิต ใส่วงเงิน วันที่ตัดบัตร และตั้งแจ้งเตือนวันครบรอบที่ตัดบัตรได้ด้วย รองรับการบันทึกด้วยเสียง สามารถที่จะ Export ไฟล์ออกมาเป็นไฟล์ Excel ได้ด้วย แถมเรายังสามารถอัพเกรดเวอร์ชันให้เป็นพรีเมียม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การวางแผนการเงิน และความปลอดภัยที่ดียิ่งขึ้นได้ด้วย


4. Money Diary

มีหน้าตาของแอพที่น่ารัก น่าใช้งาน  เราสามารถเลือกจะเข้าสู่ระบบเพื่อเก็บข้อมูล หรือไม่เข้าสู่ระบบก็ได้ โดยภายในแอพจะมีฟีเจอร์การใช้งานที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน รายการหลักที่ต้องใช้จะรวมอยู่ในหน้าแรก และมีการรวมข้อมูลของทุกบัญชีไว้ในหน้าเดียวกันนี้ โดยจะมีข้อมูลบอกป็นรายวัน รายเดือน หรือรายปี หากต้องการเพิ่มรายรับหรือรายจ่ายก็สามารถเพิ่มได้ทันที สามารถเพิ่มเป็นรูปภาพก็ได้ ทั้งนี้ตัวแอพสามารถอัพเกรดเป็นเวอร์ชันพรีเมียมได้ด้วย โดยเมื่ออัพเกรดเราจะสามารถเปลี่ยนธีม คำนวณสินเชื่อ บันทึกรายการได้อย่างไม่จำกัด รวมไปถึงการวางแผนด้านการใช้จ่ายที่ทำได้ดีมากยิ่งขึ้น แอพพลิเคชันนี้จึงเหมาะกับทั้งมือใหม่และผู้ที่มีความรู้ด้านการเงินเลยทีเดียว

5. Spendee Budget & Money Tracker

เป็นแอพที่จะช่วยจัดการบัญชี มีหน้าตาที่เรียบง่าย สะอาดตา แต่มีฟีเจอร์ให้เลือกใช้งานมากมาย นอกเหนือจากการบันทึกรายรับรายจ่าย โดยจะมีการสรุปค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน แล้วนำมาวิเคราะห์ในเดือนถัดไป โดยระบบจะดูจากการใช้จ่ายที่เสียเป็นประจำ เช่น ค่าอาหาร ค่าผ่อนต่าง ๆ ฯลฯ เราสามารถเพิ่มบัญชีได้หลายบัญชี สามารถเชื่อมต่อกับธนนาคารกรุงศรีฯ ได้ด้วย เพื่อนำข้อมูลมาคิดคำนวณได้ทันที จุดที่น่าสนใจอีกจุดหนึ่งก็คือ เราแอพมี Tag สำหรับแยกประเภทที่นอกเหนือไปจาก Category ด้วย โดยใน Tag นั้น เราสามารถเพิ่มรายละเอียดต่าง ๆ ที่ลึกลงไปได้ ตัวแอพไม่รองรับภาษาไทย เหมาะกับคนที่ต้องการจัดการบัญชีในระดับที่ลงลึกขึ้น ละเอียดขึ้น มากกว่าผู้ยังเป็นมือใหม่ในเรื่องของการจัดการบัญชี


6. Household account book

 
เป็นแอพจากประเทศญี่ปุ่น  มีฟีเจอร์การใช้งานที่ครบครัน ทั้งการบันทึกรายรับรายจ่าย การจดจำการใช้งาน โดยฟีเจอร์ทั้งหมดนั้นสามารถเข้าใจและใช้งานได้ง่ายมากๆ เพื่อแค่เลือกแล้วเพิ่มรายการที่เราต้องการเข้าไป สามารถเปลี่ยนธีมของแอพได้ สามารถบันทึกเป็น Story ได้ด้วย เพิ่มความสนุกในการใช้งานมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับใครที่เพิ่มเริ่มการบันทึกรายรับรายจ่ายหรือจัดการบัญชี โดยเฉพาะกับใครที่ชอบแอพที่มีหน้าตาที่น่ารักสดใส น่าใช้งาน ไม่ควรพลาด


7. Piggipo

เป็นแอพที่มีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก มีฟีเจอร์สำหรับการใช้งานทั่วไป ไปจนถึงฟีเจอร์ที่ทำให้เราเห็นภาพรวมของการใช้จ่ายบัตรเครดิตได้แบบ Real Time มีฟีเจอร์ในในการจัดการด้านบัตรเครดิต เช่น การคำนวณดอกเบี้ยในการจ่ายขั้นต่ำก่อนการชำระเงิน ฯลฯ ทั้งนี้ยังสามารถใส่บัตรเครดิตได้หลายใบ เหมาะมากสำหรับใครที่อยากได้ตัวช่วยในการจัดการเกี่ยวกับบัตรเครดิต ในส่วนของการใช้งานทั่วไปอย่างรายรับรายจ่ายนั้น ก็สามารถใส่ข้อมูลได้ง่าย ๆ ระบบมีการคำนวณการใช้จ่ายของเราให้ด้วย สามารถนำข้อมูลมา Export เป็นไฟล์ Excel ได้ด้วย เรียกได้ว่าตอบโจทย์ทั้งคนทั่วไปและคนที่ชอบใช้งานบัตรเครดิตได้เป็นอย่างดี


8. Wallet Story Expense Manager


ในหน้าแรกจะมีข้อมูลสรุปการใช้จ่ายของเราไว้ รวมไปถึงการคำนวณรายรับรายจ่ายทั้งแบบ รายวัน รายเดือน และรายปี ให้ผู้ใช้งานได้รู้ข้อมูลการเงินของตัวเอง ว่าเราควรใช้เงินขนาดไหน เป็นจำนวนเท่าไหร่ ส่วนหน้าอื่น ๆ ก็จะมีทั้งการบอกรายละเอียดของการใช้จ่าย ที่เราได้ใส่ข้อมูลลงไป การสรุปข้อมูลแบบวันต่อวัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีตัวช่วยในการวางแผนการออมเงิน ตั้งงบประมาณ การสรุปข้อมูลทั้งหมดที่เราสามารถ Print ออกมาเป็นเอกสารได้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นแอพที่น่าสนใจ น่าลองโหลดใช้งานแอพหนึ่งเลย


9. Money Lover


เป็นแอพมีผู้ใช้งานกว่า 5 ล้านคน โดยต้องลงทะเบียนก่อนเข้าใช้งานทุกครั้ง ตัวแอพเป็นแบบเรียบๆ ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน มีฟีเจอร์การใช้งานที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกรายรับรายจ่าย การคำนวณการใช้งาน การแยกันทึกเป็นหมวดหมู่ จุดเด่นที่น่าสนใจของแอพนี้เลยก็คือ เราสามารถสแกนบาร์โค้ด หรือถ่ายภาพแล้วอัพโหลดขึ้นไปบนแอพ จากนั้นแอพจะทำการเก็บข้อมูลไว้ให้เรา แอพพลิเคชันนี้ยังเหมาะทั้งกับผู้ที่ต้องการใช้งานทั่วไป ไปจนถึงการใช้งานที่ลงลึก เช่น การคำนวณงบประมาณ หนี้ต่าง ๆ หรือบัตรเครดิตล่วงหน้า เพื่อการวางแผนด้านการเงินที่ดียิ่งขึ้นด้วย


10. Money Manager Expense & Budget

 
มียอดการดาวน์โหลดที่สูงถึงหลักสิบล้านคน เป็นตัวช่วยในการจัดการด้านการเงินของราทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรายรับรายจ่าย เงินเข้า-ออกบัญชี พร้อมทั้งมีการคำนวณด้านการเงินให้เราครบทั้งหมด ในส่วนของหน้าตาการใช้งานนั้น ดูเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน สามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งบัตรเครดิต เงินสด ตัวช่วยในการแบ่งการใช้จ่ายต่าง ๆ เหมาะสำหรับใครที่มีหลายบัญชี เพราะตัวแอพรองรับการเพิ่มบัญชีได้หลายบัญชี หรือการรวมกลุ่มบัญชี มีการเก็บข้อมูลด้านการเงินและรวมเป็นสถิติ เก็บเป็นแบบปฏิทินได้ทั้งรายวัน รายเดือน พร้อมการคำนวณเงินล่วงหน้าของเราด้วย เรียกได้ว่าแอพเดียว ครบในเรื่องการเงิน


11. Save Money Daily

 
มีฟังก์ชันให้ใช้งานมากมาย ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับการบันทุกรายรับรายจ่ายทั่วไปที่ไม่ซับซ้อน ทั้งตัวแอพยังมีหน้าตาที่สะอาด ดูสบายตา ฟีเจอร์ที่น่าสนใจในแอพนี้ก็คือ การจดบันทึกรายรับรายจ่ายที่มีการสรุปรายละเอียดต่าง ๆ ทั้งแบบรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน โดยสามารถดูประวัติการใช้จ่ายย้อนหลังของแต่ละวันได้ด้วย รวมไปถึงการจัดทำสรุปยอดรายรับรายจ่ายในรูปแบบกราฟ แถมยังรองรับการบันทึกหลากหลายสกุลเงิน


12. Oh My Cost

น่าใช้งาน การบันทึกข้อมูลก็สามารถทำได้ง่าย เพราะจะมีไอคอนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น อาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้า ฯลฯ บอกประเภทของค่าใช้จ่ายให้เรา ทำให้เข้าใจได้ง่าย ทำให้การบันทึกรายรับรายจ่ายไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป เหมาะมากกับใครที่ชอบบันทึกรายรับรายจ่ายที่เน้นความสะดวก สามารตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย มีไอคอนกว่า 500 แบบให้เลือก สามารถใช้งานได้หลายบัญชี มีการสรุปผลรายรับรายจ่ายในแต่ละวันให้ด้วย ในส่วนของแอพนี้นั้นรองรับการใช้งานในสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ iOS เท่านั้น

อ้างอิง https://tinyurl.com/j74mudn

Moore's Law

วันที่ 19 เมษายน 1965 กอร์ดอน มัวร์ ที่ยังเป็นพนักงานของบริษัท FairChild เขียนบทความลงในวารสาร Electronics ระบุว่าจำนวนอุปกรณ์ในไอซีจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวทุกๆ หนึ่งปี นับเป็นจุดเริ่มต้นของกฎของมัวร์นับแต่วันนั้น 

ต่อมาในปี 1975 เขาปรับการคาดการณ์ไว้ว่าจำนวนอุปกรณ์จะเพิ่มขึ้นสองเท่าทุกๆ สองปี และจนวันนี้ กฎนี้จะคงใช้คาดการณ์ซีพียูรุ่นใหม่ๆ ที่มีความซับซ้อนสูงได้อย่างต่อเนื่อง

การที่เราสามารถที่จะเพิ่มทรานซิสเตอร์ลงไปเป็น 2 เท่าในระยะเวลาทุกๆ 2 ปีนั้นก็หมายความว่าชิปรุ่นใหม่ที่ออกตามหลังมาหลังจาก 2 ปีผ่านไปจะมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมในขณะที่ราคานั้นจะยังคงเท่ากับของเดิมทำให้ผู้ผลิตสามารถที่จะใส่อะไรต่างๆ เข้ามาได้มากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง

กฎของมัวร์ไม่ใช่กฎที่จะคงอยู่อย่างถาวร ดังจะเห็นได้ว่าผู้ผลิตต่างๆ ในปัจจุบันนั้น ก็พยายามที่จะทำลายกฎของมัวร์กันอยู่เรื่อยๆ ทว่าทำยังไงก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะกฎดังกล่าวนี้ได้สักที 

สิ่งที่จะเข้ามาในการทำให้กฎของมัวร์สิ้นสุดได้นั้นจะประกอบไปด้วยปัจจัย 3 อย่างด้วยกันคือ

1. impurities 

หรือสิ่งสกปรกบนสารกึ่งตัวน้ำมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ 

ในทางปฎิบัติ ไม่สามารถที่จะทำให้สารกึ่งตัวนำสะอาดหมดได้จริง เนื่องจากมันมีปัจจัยในการผลิตเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็คือ เรื่องของความร้อน ที่ไม่ว่าสารจะเล็กมากขนาดไหน ทว่าเมื่อตีเสร็จแล้ว มันก็จะยังคงขยายตัวขึ้นมามากกว่าตอนที่ทำการตีอยู่อย่างเสมอๆ 

ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือเพชร ที่เวลาทำการเจียร์ ก็จะยังคงมีสิ่งเจือปนหลงอยู่บนพื้นผิวเพชรเสมอ (ถึงแม้ว่าตาเปล่าจะมองไม่เห็น) ซึ่งนั่นเลยทำให้หากเป็นสารกึ่งตัวนำแล้วนั้นก็อาจจะถึงขั้นไม่สามารถใช้งานได้หรือหากใช้ได้ก็จะกลายเป็นว่าเราเสียพื้นที่ ณ จุดดังกล่าวไป 

2. lithography 

หรือปริ้นท์ทรานซิสเตอร์ลงไปบนแผงวงจรสารกึ่งตัวนำ

ซึ่งโดยปกตินั้นจะต้องใช้แสงในการปริ้นท์เข้าไป  เพื่อที่จะทำให้ตัวแผงวงจรนั้น มีพื้นผิวที่เหมาะสมกับทรานซิสเตอร์ต่างๆ เหล่านั้น ยิ่งเราทำให้ทรานซิสเตอร์เล็กลงมากขึ้นเท่าไร เราก็ต้องสร้างให้ฐานวงจรมีร่องที่จะวางทรานซิสเตอร์ดังกล่าวลงไปให้ได้มากที่สุด ในจุดนี้ เราก็จะมีการใช้เทคนิคที่เรียกว่า multi-patterning 

หลังจากที่เวลาผ่านไปแล้ว เรากลับได้พบว่า วิธีการดังกล่าวไม่เพียงพอที่จะทำเช่นนั้นอีกต่อไป ดังนั้นทางผู้ผลิตชิปก็ต้องหาเทคนิคทางด้านอื่นเข้ามาช่วย ซึ่งเทคนิคที่เข้ามาช่วยนั้นก็จะเป็นเทคนิคเรื่องของการใช้แสง อย่างเช่น Extreme UV หรือ EUV เป็นต้น 

การลดขนาดวงจรแล้วเล่นกับแสงแบบนี้ ย่อมทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา หมายถึง เกิดข้อผิดพลาดได้จนเป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่สามารถที่จะใช้แผงวงจรดังกล่าวนั้นได้อีกต่อไป 

3. economics of scale 

หรือปัญหาทางด้านต้นทุน

ซึ่งหากต้องการทำกฎของมัวร์ให้เป็นไปได้เรื่อยๆ แล้วนั้น ก็คือ ทางผู้ผลิตต้องเพิ่มต้นทุนในการผลิตใหม่ทุกๆ 2 ปี เพื่อที่จะทำให้ตัวชิปนั้นมีขนาดเล็กลงมากพอ จนสามารถที่จะใส่ทรานซิสเซอร์เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในทุกๆ ระยะเวลา 2 ปี 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกระบวนการผลิตที่เล็กลงเรื่อยๆ  การพัฒนากระบวนการผลิตต่างๆ ก็จะยากขึ้นตามเรื่อยๆ จนทำให้มีต้นทุนเพิ่มเข้ามาเป็นอย่างมากนั่นเอง

สรุป

เมื่อมันมีปัญหาในการผลิตต่างๆ มากมายอย่างนี้  แล้วกฎของมัวร์จะยังคงสามารถใช้งานต่อไปได้หรือไม่ คำตอบ ก็คือ มันยังคงมีความเป็นไปได้ อย่างน้อยก็อาจจะไปจนถึงปี 2025 หรือว่ามากกว่านั้นอีก (ปี 2025 คือปีที่มัวร์คาดเอาไว้ว่าจะไม่สามารถใช้กฎของเขาได้อีกต่อไป)

อ้างอิง https://tinyurl.com/ytv9vcpj, https://tinyurl.com/jm3p9f52

วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2564

ตัวช่วยฝึกการพูดและการนำเสนอโดยไม่มีผู้ฟัง

 ฝึกพรีเซ็นต์เองได้ ไม่ต้องมีคนนั่งฟัง!

.

Microsoft PowerPoint ช่วยให้คุณเตรียมพร้อมนำเสนอได้ผลงานได้ โดยใช้ AI ไม่จำเป็นต้องมีคนฟัง

.

คุณสามารถพัฒนาทักษะการนำเสนอได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะใช้งานบน Mac, Windows, iOS, Android หรือบนหน้าเว็บ

.

ขณะเปิดใช้งาน PowerPoint Presenter Coach จะฟังในขณะที่คุณพูดการนำเสนอออกมาดัง ๆ และจะวิเคราะห์สิ่งที่คุณกำลังพูด รวมถึงเตือนคุณได้ด้วยว่าคุณพูดเร็วหรือช้าเกินไป และใช้คำว่า  อืม เอ่อ หรือ อ่า มากแค่ไหน 

.

หลังจากที่ลองใช้ จะพบว่ามันทำงานได้ดีอย่างน่าตกใจโดย Microsoft จะบอกสิ่งที่ควรทำในตอนท้าย ผ่านรายงานแนะนำการฝึกฝนเพิ่มเติม

.

นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่ทำให้งานนำเสนอของคุณดีขึ้นได้นั่นคือการดูภาษากาย ในขณะที่คุณกำลังซ้อมพรีเซ็นต์หน้ากล้อง มีการสบตาด้วยหรือเปล่า รวมถึงแจ้งเตือนหากคุณพูดคำซ้ำ หรือพูดผิด โดยฟีเจอร์ที่ใช้งานได้มากขึ้นยังจำกัดอยู่กับบาง OS เช่น MAC จะยังใช้ การวิเคราะห์เสียงและวิดีโอไม่ได้ ณ ตอนนี้

.

ใครสนใจ ไปลองใช้กันดูได้ครับ เปิด PowerPoint เข้าไปที่เมนู Slide show และเลือก Rehearse with coach จากนั้นก็เริ่มฝึกพรีเซ็นต์ได้เลย

อ้างอิง FB : Techhub

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2564

Hard Disk VS SSD

ถ้าโน๊ตบุ๊คที่ใช้งานอยู่เริ่มช้า เริ่มมีอาการอืด เปิดเครื่องก็ติดช้า เปิดโปรแกรมขึ้นมาแต่ละทีแล้วต้องรอเป็นวัน กินข้าวก็แล้ว ดูหนังก็แล้ว ยังโหลดไม่เสร็จ เราอาจไม่ต้องลงมือลงแรงถึงขั้นเปลี่ยนเครื่องใหม่ หากแต่เปลี่ยน HDD เป็น SSD ก็เรียกความเร็วของคอมพิวเตอร์/โน๊ตบุ๊ค ให้เร็วขึ้นได้เกือบเท่าตัวแล้ว

เปรียบเทียบ Hard Disk  กับ  SSD


ฮาร์ดดิสหรือหน่วยความจำหลักสำหรับเก็บข้อมูลต่างๆ ถ้าเป็นสมัยก่อนแทบไม่มีผลต่อการใช้งานเครื่องเท่าไร เพราะเป็นฮาร์ดดิสค์จานหมุน จึงจะมีผลกับพื้นที่เก็บข้อมูลมากกว่ายิ่งความจุมากก็เก็บข้อมูลได้เยอะ แต่ปัจจุบันฮาร์ดดิสค์มีแบบ SSD (solid state drive) หรือฮาร์ดดิสค์ที่เป็นแบบชิป ข้อดีของมันก็คือเร็วกว่าฮาร์ดดิสค์จานหมุนถึง 10 เท่า เพราะว่าไม่ต้องหมุนจานเพื่อหาตำแหน่งข้อมูล แต่มีข้อสังเกตคือถ้า SSD เสีย ก็จะไม่สามารถกู้ข้อมูลใด ๆ ได้ ในขณะที่ HDD แบบจานหมุนยังพอสามารถเข้าศูนย์กู้ข้อมูลออกมาได้

SSD จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการความเร็วในการเปิดเครื่อง เปิดโปรแกรม หรือค้นหาไฟล์ในเครื่องเป็นหลัก ถ้าเปลี่ยนมาใช้ SSD ชีวิตจะเปลี่ยนไปทันทีแล้วแทบไม่สามารถกลับมาใช้ฮาร์ดดิสค์ธรรมดาได้เลย เปิดเครื่องในระดับไม่ถึงนาที หรือเปิดโปรแกรม เปิดไฟล์ได้รวดเร็ว หาไฟล์ในเครื่องแทบจะในทันทีไม่ต้องรอฮาร์ดดิสค์หมุน และที่สำคัญคือไม่มีเสียรบกวนและประหยัดพลังงานยิ่งกว่า แต่ด้วยพื้นที่จำกัดอาจจะต้องมีฮาร์ดดิสค์แบบ USB ไว้เก็บข้อมูลสักอัน หรือบางรุ่นที่มีพอร์ตเชื่อมต่อฮาร์ดดิสค์ 2 แบบก็จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องความจุได้ด้วย

โดยปกติแล้วโน๊ตบุ๊คทั่วไปจะมีช่องสำหรับติดตั้งฮาร์ดดิสค์ แบบ 2.5 นิ้ว 1 ตัวเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว การอัพเกรดจึงเป็นการเพิ่มความจุ หรือเปลี่ยนชนิดของฮาร์ดดิสค์เป็น SSD แบบ 2.5 นิ้ว มีขายทั่วไป ในราคาไม่แพงมาก สามารถซื้อมาใส่แทนตัวเก่าได้เลย จากนั้นก็ลงวินโดวส์เหมือนฮาร์ดดิสค์ธรรมดา และเพื่อความคุ้มค่าสูงสุด เรายังสามารถเอาฮาร์ดดิสค์ตัวเก่าที่ถอดมา ใส่กล่อง เพื่อทำเป็นฮาร์ดดิสค์ USB ได้ด้วย ราคากล่องแค่หลักร้อยคุ้มกว่าไปซื้อฮาร์ดดิสค์ USB ต่อเพิ่ม

มีโน๊ตบุ๊คบางรุ่นที่มีช่องสำหรับติดตั้งฮาร์ดดิสค์แบบ SSD นามว่า M.2 ซึ่งสลีอตนี้จะเป็นแบบเดียวกับที่ใช้ต่อการ์ด WiFi มีขนาดเล็ก ทำให้สามารถติดตั้งบนโน๊ตบุ๊คได้โดยไม่เปลืองพื้นที่ และยังสามารถมีฮาร์ดดิสค์แบบ 2.5 นิ้ว อีกลูกได้ด้วย โดย SSD แบบ M.2 จะแบบยาว ๆ คล้ายการ์ด WiFi โดยโน๊ตบุ๊คทั่วไป ซึ่งก็จะแบ่งแยกย่อยออกเป็น 2 แบบอีกคือ M.2 แบบธรรมดา ซึ่งจะให้ความเร็วเทียบเท่ากับพอร์ต SATA ธรรมดา อีกแบบคือ PCI Express หรือ PCIe แบบเดียวกับซล๊อตบนเมนบอร์ดเครื่องพีซี ซึ่งให้ความเร็วสูงกว่า M.2 ธรรมดา อย่างน้อย 2 เท่าขึ้นไป แต่ก็ขึ้นอยู่กับตัว SSD ด้วยว่าสามารถรันได้ที่ความเร็วเท่าไร ซึ่งความต่างนอกจาก PCIe จะมีการระบุถึงชิป Nvme ที่เป็นชิปคอนโทรลแล้ว สล๊อตเชื่อมต่อก็ยังต่างกันอีกด้วย M.2 ทั่วไปจะมี 2 ร่อง ขณะที่ PCIe จะมีร่องเดียว

ซึ่งเราต้องดูก่อนว่า โน๊ตบุ๊คของเรามีสล๊อตหรือไม่ และเป็นแบบใด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแบบ M.2 แต่ถ้าเป็นโน๊ตบุ๊คที่มีราคาแพง ระดับ 29,990 บาทขึ้นไป ก็มักจะเป็นแบบ PCIe แนะนำว่าเช็คจากผู้ผลิตอีกทีเพื่อความแน่ใจ โดย PCIe จะมีราคาแพงกว่าพอสมควรอย่างน้อย 20 -30% แต่ก็แลกมาด้วยความเร็วสูงกว่า จากนั้นก็มีดูความจุที่ต้องการ 128GB ไปจนถึง 2TB สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสค์ 2.5 นิ้ว อีกลูกอาจจะซื้อแค่ 128GB ก็เพียงพอ (หากต้องการเก็บข้อมูลหรือลงเกมหนัก ๆ ก็สามารถเลือกลงที่ฮาร์ดดิสค์ธรรมดาได้) แต่ถ้าหากโน๊ตบุ๊คมีช่อง M.2 อันเดียว ควรจะซื้อความจุ 256GB ขึ้นไปมาใส่ดีกว่า

ประเภทของ SSD


  • PCIe M.2 NVMe  ถือเป็นพอร์ตที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน และเป็น SSD ราคา ค่อนข้างสูง แต่สามารถทำความเร็วอ่านเขียนได้ถึงระดับ 5,000 MB/s ใน PCIe 4.0 หรืออย่างต่ำๆก็ได้ 1500 – 3500 MB/s แล้ว เปิดเครื่องไวเปิดโปรแกรมเร็ว เมนบอร์ดส่วนใหญ่ในปัจจุบันทั้งพีซีและโน๊ตบุ๊ครองรับ ถ้าซื้อเครื่องมาใหม่แนะนำใช้แบบ PCIe NVMe ไปเลย

  • SATA M.2 มีหน้าตาเป็นการ์ดเหมือน PCIe NVMe แต่จะต่างที่ขาสล๊อต และชิปควบคุม ตามสเปคจะอ่านเขียนได้ช้ากว่า PCIe ที่ราวๆ 500 MB/s เพราะอยู่บนมาตรฐาน SATA เช่นเดียวกับแบบต่อสาย แต่ได้ข้อดีคือไม่ต้องต่อสาย หรือจ่ายไฟเพิ่ม รวมไปถึงโน๊ตบุ๊คในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเน้นความบางเบาก็จะเป็นพอร์ตเชื่อมต่อแบบนี้

  • SATA III 2.5 นิ้ว เป็นพอร์ตที่เชื่อมต่อโดยการใช้สาย แบบเดียวกับฮาร์ดดิสค์เลย เมนบอร์ดโน๊ตบุ๊ค พีซีรองรับเกือบทุกตัวเลยก็ว่าได้ เพราะเมนบอร์ดส่วนใหญ่จะมีช่องต่อสาย SATA มาให้แน่นอน ไปจนถึงพีซีรุ่นเก่าหรือโน๊ตบุ๊คต่อให้เก่ามากๆยังไงก็ยังสามารถใช้ SSD แบบนี้ได้

เลือก SSD ราคา ความจุ เท่าไรถึงพอเหมาะ?

  • 128GB ความจุเริ่มต้น จัดเป็น SSD ราคา ประหยัด เหมาะกับเครื่องที่เน้นใช้งานทั่วไป ลงวินโดวส์ โปรแกรมออฟฟิต และเก็บไฟล์รูป หนังอีกนิดหน่อย ไม่เหมาะกับการลงเกมหรือโปรแกรมใหญ่ๆ เหมาะกับการซื้อไปอัพเกรทพีซีเครื่องเก่า หรือมีฮาร์ดดิสค์ไว้เก็บข้อมูลอยู่แล้ว

  • 256GB ความจุพื้นฐาน เป็นความจุที่เหมาะสมทั้งการใช้งานทั่วไป ลงเกมหรือโปรแกรมได้ประมาณนึง แต่ก็ไม่สามารถติดตั้งเกมหรือโปรแกรมใหญ่ๆได้มากนัก แนะนำว่าใช้งานคู่กับฮาร์ดดิสค์จะดีที่สุด ไม่ควรใช้ลูกเดียวจบเพราะอาจจะไม่พอใช้งาน

  • 512GB ความจุระดับกลาง เป็น SSD ราคา แนะนำ ความจุเหมาะสมของทีมงาน สำหรับเกมเมอร์ที่ใช้ SSD เพราะมีความยืดหยุ่นสูง ลงเกม หรือโปรแกรมหนักๆได้เยอะ หรือจะสายตัดต่อก็ยังมีพื้นที่ไว้เก็บไฟล์งานได้ สามารถใช้ลูกเดียวจบได้โดยไม่ต้องมีฮาร์ดดิสค์มาเสริม แต่ถ้าท่านข้อมูลเยอะ ไฟล์งานมาก ก็อาจจะหาฮาร์ดดิสค์พกพามาสำรองข้อมูลเป็นพักๆ

  • 1TB ความจุน่าใช้ ลูกเดียวจบ ลงได้ทั้งเกม โปรแกรม ไฟล์งาน หนังรูปเพลง โดยไม่ต้องห่วงเรื่องความจุ ใส่ในโน๊ตบุ๊คหรือพีซีลูกเดียวไม่จำเป็นต้องมีฮาร์ดดิสค์ไว้สำรองข้อมูลก็ยังได้ เหมาะกับท่านที่เน้นความสะดวกไม่อยากเก็บข้อมูลหลายที่ และไม่ต้องมาห่วงเรื่องความจุเต็ม

  • 2TB ความจุเหลือใช้ เหมาะกับท่านที่จบตรง SSD ราคา ไม่ใช่ปัญหา ลูกเดียวครบ เก็บเพลง หนัง งาน โปรแกรม เกม เป็นสิบเป็นร้อยก็ยังไหว แต่ต้องระวัง SSD บินนะครับ เพราะไม่อย่างงั้นชีวิตท่านจะสูญสลายไปด้วย ยังไงต่อให้ SSD ความจุสูง ก็ต้องมีฮาร์ดดิสค์ไว้เก็บข้อมูลด้วยนะ

สรุป

การเปลี่ยน HDD เป็น SSD นั้น นอกจากจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับคอมพิวเตอร์ของเราให้รวดเร็วขึ้นแล้ว ก็ยังเป็นการยืดอายุการใช้งานออกไปได้อีกด้วย เพราะคอมพิวเตอรืสามารถทพงานได้อย่างลื่นไหลมากยิ่งขึ้น รันโปรแกรมได้รวดเร็วขึ้น โดยที่เราไม่ต้องไปลงทุนผ่านเงินก้อนใหญ่ในการซื้อโน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่แต่อย่างใด ในส่วนของความจุ ว่าถ้าเปลี่ยน HDD เป็น SSD แล้วนั้น ควรจะใช้ SSD กี่ GB ก็สามารถเลือกได้ตามความต้องการ รวมไปถึงการบริหารพื้นที่ในการใช้งานของเราด้วย เช่น เราอาจจะซื้อ SSD ความจุ 240GB มาใช้เป็นไดรฟ์ติดตั้ง Windows 10 เอาไว้และโปรแกรมหลักแล้วมี HDD เอาไว้เป็นไดรฟ์เสริมสำหรับบันทึกไฟล์งานสัก 1TB ก็ดีเช่นกัน หรือจะเอาซื้อ 500GB แล้วเอางานทั้งหมดใส่ไว้ใน External Hard disk เพื่อจะได้ไม่ต้องกินพื้นที่ในไดรฟ์ C ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับจินตนาการและการพลิกแพลงการใช้งานของผู้ใช้ ว่าจะบริหารการใช้งานเครื่องของเราอย่างไร

อ้างอิง https://tinyurl.com/3f2nn3ca

วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2564

Ninite ตัวช่วยติดตั้งโปรแกรมเป็นชุด


หลักการทำงานของ Ninite  เริ่มจากเราเข้าไปที่เว็บของ Ninite (https://ninite.com/) แล้วเลือกโปรแกรมที่อยากติดตั้ง (ซึ่งทั้งหมดเป็นโปรแกรมฟรี-โอเพนซอร์สยอดนิยมบนวินโดวส์) คลิกเลือกเป็น checkbox ธรรมดา จากนั้นกดปุ่ม Get Installer เจ้า Ninite มันจะสร้างตัว installer ขึ้นมาให้เราดาวน์โหลดตัวนึง เป็นไฟล์ .exe เล็กๆ

หมายเหตุ  สำหรับโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่บางตัว เช่น OpenOffice สามารถดาวน์โหลดโดยตรง เพื่อแยกติดตั้งเองจะทำงานได้เร็วกว่า

อ้างอิง  https://tinyurl.com/wz568a69

วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2564

เว็บอ่านนิยายฟรี

 ไม่ว่าจะอยู่ในที่ไหน ๆ เราก็สามารถเข้าถึงและอ่านนิยายได้ฟรี ผ่านทางเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชัน

อ่านนิยายได้ประโยชน์กว่าที่คิด

การอ่านนิยายออนไลน์ก็ไม่เพียงแต่จะให้ความสนุก ความบันเทิงกับเราเพียงเท่านั้น แต่นิยายหลาย ๆ เรื่องก็แฝงไปด้วยแง่คิด สาระความรู้ ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ การเมือง หรือสังคม ฯลฯ ซึ่งล้วนให้ประโยชน์กับเรามากกว่าที่คิดทั้งสิ้น มาดูข้อดีของการอ่านนิยายกันดีกว่า ว่าจะให้ประโยชน์กับเราในแง่ไหนได้บ้าง
  1. มีนิสัยรักการอ่าน:

    นิยายนั้นมักเขียนด้วยภาษาที่ทันสมัย ใช้คำที่ง่าย อ่านแล้วสามารถเห็นภาพและจินตนาการตามได้ไม่ยาก การอ่านนิยายจึงเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่าย ไม่ว่ากับเพศไหน วัยใด หลาย ๆ คนจึงชอบที่จะอ่านนิยาย และรู้ไหมว่า การที่เราอ่านนิยายนั้นก็ยังช่วยทำให้เรามีนิสัยที่รักการอ่านมากยิ่งขึ้นด้วย แถมยังช่วยเสริมให้เราหันไปอ่านหนังสือประเภทอื่น ๆ มากยิ่งขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะกับนิยายที่เขียนอิงจากประวัติศาสตร์หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง นักอ่านหลายคนที่อยากเข้าใจในเนื้อหามากยิ่งขึ้นก็มักจะติดตามไปค้นหาความรู้เพิ่มเติม เรียกว่าได้รับความรู้ไปแบบไม่ทันรู้ตัว

  2. ช่วยฝึกสมาธิที่ดี:

    การอ่านนิยายทำให้เราได้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เราสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน การอ่านนิยายก็จะเป็นตัวช่วยหนึ่งที่จะทำให้เรามีสมาธิที่ดีขึ้นด้วย

  3. ฝึกการวิเคราะห์:

    นิยายแต่ละเรื่องนั้น กว่าที่จะออกมาแต่ละตอนให้เราได้ติดตามอ่านกัน ก็มาจากความคิด การวางปมของผู้เขียน และการดำเนินเรื่อง สถานการณ์ ปมปัญหาต่าง ๆ ที่อยู่ในนิยายก็ช่วยให้คนอ่านอย่างเราได้ฝึกสมองวิเคราะห์สถานการณ์เชื่อมโยงเหตุการณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน โดยเฉพาะกับนิยายประเภทสืบสวนสอบสวน รับรองว่าทำให้สมองของเราทำงานได้อย่างเต็มที่เลย

  4. สร้างจินตนาการ:

    นิยายนั้นเป็นเรื่องที่ตั้งอยู่บนความเป็นเรื่องแต่ง ดังนั้น ไม่ใช่แค่จินตนาการของผู้เขียน ตัวผู้อ่านเองก็ต้องมีจินตนาการ นึกภาพตามเรื่องราวที่เราอ่านด้วยเช่นกัน นิยายจึงเป็นตัวช่วยให้เราได้ฝึกการจินคนาการ นึกภาพตาม และการจินคนาการนี้เองที่อาจช่วยให้เรานำไปประยุกต์ใช้กับไอเดียในการทำงานด้านต่าง ๆ ได้ด้วย

  5. แหล่งของความบันเทิง:

    นิยายนั้นมีจุดประสงค์หลักในการแต่งขึ้นมาก็เพื่ออรรถรสและความบันเทิง ซึ่งถือได้ว่าตอบโจทย์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับสังคมในปัจจุบันที่มีความตึงเครียดสูงไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจาก สภาพสังคม โรดระบาด ฯลฯ การหาความบันเทิงมาจรรโลงใจของเราก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมันจะช่วยทำให้เรายังคงมีสุขภาพจิตที่ดีแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ก็ตาม

  6. ช่วยฝึกสำนวนภาษา:

    การอ่านนิยายไม่ว่าจะเป็นภาษาไทยหรือภาษาต่างประเทศก็ช่วยให้เราได้มีความคุ้นเคยกับภาษานั้น ๆ มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้สำนวน หรือภาษาเขียน โดยเฉพาะกับในภาษาต่างประเทศนั้น การอ่านเป็นตัวช่วยในการฝึกภาษาที่ดีเยี่ยมเลยทีเดียว

  7. การอ่านช่วยพัฒนาทักษะการเขียน:

    นิยายไม่ได้ช่วยเพียงการฝึกภาษาที่มาจากการอ่านเท่านั้น นิยายยังเป็นตัวช่วยให้เรามีทักษะการเขียนที่ดียิ่งขึ้นอีกด้วย เพราะเมื่อเรามีคลังคำศัพท์ สำนวนที่ผ่านหูผ่านตาจำนวนมากจากการอ่าน เวลาที่เราต้องเขียนไม่ว่าจะเป็นการเขียนเพื่อศึกษา ทำงาน หรือเพื่อความบันเทิง เราก็จะสามารถใช้คลังคำศัพท์ที่เรามีในการเขียนออกมาให้ดียิ่งขึ้นได้

แนะนำเว็บอ่านนิยายฟรี

Dek-D

เป็นเว็บแนวไลฟ์สไตล์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาอย่างยาวนานมาก ๆ (ตั้งแต่แอดวัยเด็ก) และมีสถิติในปี 2018 ว่ามีคลังนิยายกว่า 500,000 เรียกได้ว่าเป็นคลังนิยายออนไลน์ที่เรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในไทยเลยทีเดียว มีนิยายให้อ่านหลากหลายแนว โดยแยกเป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจน ทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ Dek-D ยังเปิดพื้นที่ให้เหล่านักเขียนที่มีใจรักในการเขียนได้นำเรื่องที่ตัวเองเขียน ไม่ว่าจะเป็นนิยาย แฟนฟิคชั่น เรื่องเล่า ฯลฯ มาลงในเว็บไซต์ได้ด้วย และหากนิยายของเราได้รับความสนใจในระดับหนึ่ง เราก็สามารถนำนิยายมาขาย สร้างรายได้ให้ตัวเองได้อีกด้วย และเว็บไซต์ Dek-D ยังมีเคล็ดลับและเทคนิคในการเขียนต่าง ๆ ไว้ให้นักเขียนมือใหม่ได้ศึกษากันอีกด้วย

Tanwalai (ธัญวลัย)

ชุมชนออนไลน์สำหรับเหล่าผู้คนที่มีในรักในการอ่านและเขียนนิยาย ตัวเว็บมาพร้อมสโลแกนว่า ‘ถ้าเธออยากอ่าน เธอจะได้อ่าน ถ้าเธออยากเขียน เธอจะได้เขียน’ นิยายในนี้มีให้เลือกอ่านหลากหลายแนว เช่น นิยายรักโรแมนติก, แฟนตาซี, แฟนฟิคชัน, สืบสวนสอบสวน, สยองขวัญ หรือจะนิยายวาย ฯลฯ ก็มีให้เลือกอ่านได้ตามต้องการเลย แต่ความโดดเด่นมาก ๆ ที่เป็นที่นิยมสำหรับเว็บไซต์นี้อีกอย่างก็คือ นิยายแนวอีโรติก 18+ ที่เป็นที่ดึงดูดใจเหล่านักอ่านได้เป็นอย่างดี ให้เข้ามาดื่มด่ำกับนิยายแบบฟิน ๆ กันไปเลย

ธัญวลัย มีทั้งนิยายที่สามารถอ่านได้ฟรี ๆ และนิยายที่จะต้องใช้ระบบเหรียญในการปลดล็อกเพื่อเข้าไปอ่านนิยาย ในส่วนของนิยายฟรี ทางเว็บก็จะมีระบบกุญแจที่จะเอาไว้ใช้สำหรับการปลดล็อกในการอ่านนิยายฟรีแบบเต็มเรื่อง โดยทางเว็บจะแจกกุญแจฟรีในทุก ๆ 30 นาที รวมทั้งยังมีวิดีโอโฆษณาที่จะให้เราดูเพื่อแลกกับการได้รับกุญแจฟรีด้วย

KaweBook

ตัวเว็บมีผู้เข้าชมในแต่ละเดือนไม่ต่ำกว่า 300,000 คนเลยทีเดียว ความโดดเด่นของเว็บไซต์นี้ก็จะอยู่ที่นิยายจีนแนวกำลังภายใน ที่ได้รับการแปลด้วยภาษาที่น่าอ่าน โดยทางกวีบุ๊คได้ซื้อลิขสิทธิ์การแปลมาจากเจ้าของผลงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว นอกจากนิยายแปลแล้ว กวีบุ๊คก็ได้เปิดพื้นที่ เปิดโอกาสให้เหล่านักเขียนได้นำเสนอผลงานของตัวเองด้วยการเผยแพร่บนเว็บไซต์ด้วย อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเสียดายว่า เดิมทีนั้นกวีบุ๊คเคยเปิดโอกาสให้ผู้พิการทางสายตาสามารถเข้าถึงนิยายออนไลน์ได้ แต่เนื่องด้วยทางเว็บไซต์เองได้มีการปรับแก้หน้าเว็บอยู่บ่อย ๆ ทำให้โปรแกรมอ่านหน้าจอที่ออกแบบมาเพื่อผู้พิการทางสายตานั้น ไม่สามารถอ่านตัวอักษรที่อยู่ในส่วนของนิยายได้ดังเดิม

Meb

เป็นตลาดอีบุ๊คขนาดใหญ่ มีหนังสือออนไลน์มากมาย หลากหลายให้ได้เลือกซื้อกัน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือทั่วไป การ์ตูน นิตยาสาร หนังสือประวัติศาสตร์ หนังสือจิตวิทยาพัฒนาตัวเอง ฯลฯ ที่นอกจากผู้ใช้งานจะต้องซื้อตัวหนังสือออนไลน์มาอ่านกันแล้ว Meb เองก็มีนิยายที่เปิดให้อ่านได้แบบ ฟรี ๆ ไม่เสียค่าใช้จ่ายด้วย ซึ่งเราสามารถเข้าไปอ่านนิยายที่แจกให้อ่านฟรีจนจบเรื่องได้เลย และสำหรับใครที่ต้องการซื้อนิยายก็มีตัวเลือกมากมายให้เราได้เลือกซื้อกันด้วย โดยการซื้อก็คือจ่ายครั้งเดียวได้ทั้งเล่ม ไม่ได้ซื้อทีละตอน แถมยังสามารถเก็บเข้า Cloud ไว้ไปอ่านบนอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เราลงชื่อเข้าใช้บัญชีไว้ได้ด้วย สะดวกมาก ๆ
มีชื่อเดิมมาจากเว็บอ่านนิยายฟรีแบบออนไลน์ที่ชื่อว่า ‘horrorism’ ซึ่งจากชื่อเดิมก็บอกได้แล้วว่าโดดเด่นในเรื่องของนิยายแนวสยองขวัญ ที่ถึงแม้จะเปลี่ยนชื่อมาเป็น Fallinread แล้วก็ตาม ตัวเว็บยังคงความโดดเด่นด้านเดิมเอาไว้อยู่เช่นเคย ซึ่งความโดดเด่นนี้เองก็ตอบโจทย์มาก ๆ สำหรับใครที่เป็นแฟนนิยายแนวสยองขวัญ อ่านไปขนหัวลุกไป ตัวเว็บไซต์ได้รับการตอบรับที่ดีและได้ยังความนิยมอยู่พอสมควรเลย แต่ในเว็บก็ไม่ได้มีแค่นิยายแนวสยองขวัญ ยังมีนิยายอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นแนวแฟนตาซี แนวความรักโรแมนติก ฯลฯ (ที่เนื้อหาก็ยังมีการสอดแทรกความสยองขวัญเข้าไป) ทั้งนี้ในเว็บก็มีเรื่องสยองขวัญอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากนิยาย ใครที่ชอบแนวนี้ก็ต้องลองเข้าไปอ่านกันดูได้
เป็นแพลตฟอร์มที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้เลย เพราะนอกจากจะมีนิยายต่าง ๆ ให้เราได้อ่านกันแล้ว ตัวเว็บยังมีนิยายแนวแฟนฟิคที่ทางเว็บได้เปิดพื้นที่ให้เหล่านักเขียนที่มีใจรักในการเขียนนิยายได้เผยแพร่ผลงานของตัวเองอีกด้วย โดยมีทั้งแนวคู่จิ้น, ชาย-ชาย, หญิง-หญิง ฯลฯ ให้ได้อ่านได้ฟินให้ไปตาม ๆ กันเลย การใช้งานก็ง่ายมาก ๆ ตัวเว็บมีทั้งนิยายที่เปิดให้อ่านกันฟรี ๆ แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย และระบบที่จะเป็นการสนับสนุนนักเขียน โดยจะเป็นการจ่ายเงินในรูปแบบเหรียญซื้อรายตอน หรือจะเป็นการซื้อหนังสือออนไลน์ (E-book) เก็บไว้ทั้งเล่มเลยก็สามารถทำได้ ในส่วนของหมวดหมู่นิยายก็มีมากมาย ทั้งแนวรักโรแมนติก นิยายแนวแฟนตาซี ใครที่สนใจก็ต้องลองเข้าไปอ่านกันได้เลย
โดยเว็บนี้จะขึ้นชื่อในเรื่องของนิยายรูปแบบแชท ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังอ่านไลน์ที่ตัวละครพูดคุยกัน ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ เป็นการดำเนินเรื่องโดยที่ไม่ได้อาศัยบทบรรยายยาว ๆ และด้วยความที่ข้อความแบบแชทนี้อ่านง่าย ก็ทำให้ตัวเว็บได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับคนในวัยรุ่น สโลแกนของ Joylada ก็คือ “แค่ Joy ชีวิตก็ Joy” เรียกได้ว่าโดนในเหล่าวัยทีนกันไปเลยเต็ม ๆ ในส่วนของนิยายก็มีให้เลือกมากมาย หลากหลายหมวดหมู่ มีทั้งนิยายแบบแชท และแบบบรรยายปกติ และที่สำคัญ มีทั้งรูปแบบที่เปิดให้อ่านกันไปเลยฟรี ๆ และแบบเสียค่าใช้จ่ายด้วย
เครือเดียวกันกับ Storylog นั่นเอง โดยเว็บนี้จะเปิดให้อ่านนิยายกันไปเลยฟรี ๆ มีให้เลือกอ่านมากมาย หลากหลายแนว แต่ที่ต้องมีการเสียค่าใช้จ่ายก็มีเหมือนกัน สำหรับ Fictionlog ที่นอกจากจะมีนิยายต่าง ๆ มาให้เราได้อ่านกัน ตัวเว็บก็มีพื้นที่ที่เปิดให้เหล่านักเขียนได้โชว์ฝีมืองานเขียนนิยายของตัวเองกันได้ด้วย จุดยืนของตัวเว็บที่โดดเด่นเป็นอย่างมากเลยนั่นก็คือ การที่ตัวเว็บไม่ได้เป็นเอเจนซี่หรือสำนักพิมพ์ ซึ่งทำให้ลิขสิทธิ์ของนักเขียนและนิยายที่นำมาลงใน Fictionlog นั้นเป็นของผู้เขียนแบบ 100% เลย

ในส่วนของระบบนั้น นอกจากการอ่านนิยายฟรีแล้ว ก็จะมีบางเรื่องที่เราต้องเสียค่าใช้จ่ายโดยอาจเป็นการเติมเหรียญเพื่อซื้อแบบรายตอน หรือซื้อเป็นเล่ม และนอกจากนี้เรายังสามารถสนับสนุนนักเขียนที่เราชอบได้ด้วย

Jamsai

สำนักพิมพ์นิยายวัยรุ่นที่ยอดฮิตติดตลาดมาอย่างยาวนานนั่นเอง แต่โดยส่วนใหญ่นั้นในเว็บไซต์ของทางแจ่มในที่เปิดนิยายให้เราได้เข้าไปอ่าน จะไม่ได้เป็นอ่านนิยายทั้งเล่ม แต่จะเป็นการทดลองอ่านเรื่องต่าง ๆ เสียมากกว่า เพราะทางแจ่มใสเป็นสำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์หนังสือ แต่ถึงจะเป็นการทดลองอ่าน ในบางเล่มเราก็สามารถอ่านได้ฟรี ๆ กันหลายบทเลยทีเดียว ในด้านนี้จึงตอบโจทย์สำหรับใครที่ต้องการซื้อนิยายที่ต้องการอ่านตัวอย่างก่อนว่าใช่แนวที่เราชอบหรือไม่ ก่อนตัดสินใจซื้อนั่นเอง

อ้างอิง  https://tinyurl.com/57hfdwkd

WPS Office โปรแกรมออฟฟิศฟรี

WPS Office ที่เปิดให้ดาวน์โหลดไปใช้งานกันได้แบบฟรีๆ ไม่เสียค่าใช้จ่าย เป็นเวอร์ชันที่มีเครื่องมือสำหรับการทำงานเอกสารพื้นฐานครบครัน ส่วนใครที่ต้องการทำงานกับ PDF ในส่วนของการแก้ไขไฟล์ เพิ่มเติมข้อมูล ฯลฯ ก็อาจต้องอัพเกรดเป็นเวอร์ชันพรีเมียม

รู้จัก WPS Office

โปรแกรมออฟฟิศจาก Microsoft ที่มีให้เลือกใช้มากมายไปตามความเหมาะสมของงานเอกสารต่างๆ ทั้งงานเอกสาร หนังสือ การทำตารางข้อมูล บัญชี ทำสไลด์ งานนำเสนอ รวมไปถึงการบันทึกต่างๆ เป็นต้น สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพดีเยี่ยม แต่ก็ต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่มีตั้งแต่รายเดือนไปจนถึงรายปี

สำหรับแแพ็กเกจของ Microsoft 365 ก็จะเริ่มต้นแบบรายเดือนอยู่ที่ประมาณ 210 บาทต่อเดือน สำหรับรายปี นั้นแพ็กเกจเริ่มต้นสำหรับผู้ใช้งานคนเดียวก็จะอยู่ที่ประมาณ 2,099 บาทต่อปี  ก็ยังมีพื้นที่สำหรับเก็บข้อมูลใน One Drive ระบบคลาวด์จาก Microsoft ได้อีก 1TB 

อยากแนะนำ โปรแกรมที่สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้ฟรีๆ แถมมีฟังก์ชันการทำงานพื้นที่ของงานออฟฟิศอยู่ครบ แถมหน้าตา Interface ของโปรแกรมก็คล้ายกับ Microsoft เลย ทำให้ใครที่คุ้นเคยกับ Microsoft อยู่แล้ว นั่นก็คือ WPS Office 

WPS Office คือ ??

WPS Office (WPS ย่อมาจาก Word Processing System) พัฒนาขึ้นโดยบริษัท Kingsoft (บริษัทซอฟต์แวร์รายใหญ่ของจีน และปัจจุบันเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง) เริ่มต้นจากโปรแกรมสำนักงานในประเทศจีนที่พัฒนาขึ้นมาราว ๆ ปี 1988 โดยวางตัวเป็นคู่แข่งของ Microsoft Office และอาศัยจุดเด่นในเรื่องของภาษาจีน เอาชนะ Microsoft Office จนทำให้สามารถขึ้นเป็นโปรแกรมออฟฟิศเบอร์หนึ่งในประเทศจีนได้สำเร็จ (ปัจจุบัน WPS ถือเป็นเบอร์สองของโลกสำหรับโปรแกรมออฟฟิศบนคอมพิวเตอร์)

โปรแกรม WPS นั้นเป็นโปรแกรมสำหรับการทำงานเอกสารที่พัฒนาออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้ง่าย มาพร้อมเครื่องมือที่ครบครัน สามารถทำงานเอกสารได้หลากหลายในโปรแกรมเดียว ไม่ต้องดาวน์โหลดโปรแกรมแยก เปิดให้ทำงานได้ในหลากหลายครอบคลุมแทบทุกระบบปฏิบัติการ ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการ Windows, macOS, Linux หรือสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ระบบปฏิบัติการ iOS และ Android

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ

  • โปรแกรมสามารถเปิดอ่านไฟล์ PDF ได้ทันทีโดยไม่ต้องอาศัยการเปิดอ่านผ่านโปรแกรมอื่น ๆ
  • สามารถบันทึกไฟล์เอกสาร เป็นไฟล์ PDF ได้ทันที
  • มีฟังก์ชันการจัดการกับงานเอกสารไฟล์ PDF เช่น การเปลี่ยนแปลง ปรับขนาด แก้ไข (สำหรับเวอร์ชันพรีเมี่ยม)
  • มี Template หลากหลายให้เลือกใช้งาน รวมไปถึง Resume, Presentation หรือ บันทึกช่วยจำต่าง ๆ
  • รองรับหลากหลายอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็น Windows (ทั้ง 32bit และ 64bit), macOS, Linux และอุปกรณ์อย่างสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android
  • รองรับการทำงานข้ามแพลตฟอร์ม ทำงานได้ราบรื่น สามารถจัดการกับไฟล์ได้ง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์จาก macOS, Windows, Linux, Android, iOS หรือแม้กระทั่งการทำงานผ่านเว็บไซต์
  • รองรับไฟล์งานเกือบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น docx, doc, dotx, dot, dotm, docm, wpt, rtf, xml, xlsx, xls, xltx, xlt, csv, xml, et, ett, pptx, ppt, potx, pptx, ppsx, dpt, pptm, potm, dpt, dps, PDF, txt, html, mht ฯลฯ
  • สามารถทำงานร่วมกับงานเอกสารที่มาจากโปรแกรมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Microsoft Office (Word, PowerPoint, Excel), Google Docs, Adobe และ OpenOffice ทำให้การโอนย้ายไฟล์จาก Microsoft Office หรือ Google Docs มาใช้งานใน WPS สามารถทำได้ง่าย ๆ
  • รองรับการทำงาน
    • การแก้ไขข้อความ
    • รูปภาพและกราฟ
    • สูตรและการจัดรูปแบบหน้า
    • การกู้คืนข้อมูล
    • Presentation
    • ภาพเคลื่อนไหว
    • การแชร์ไฟล์และแก้ไขการทำงานร่วมกัน
    • สามารถติดตามความเปลี่ยนแปลง ดูความคิดเห็นได้
    • มีฟังก์ชัน Find and Replace
  • Interface แบบ All-in-One เรียบง่าย สะอาดตา ทำให้มีการใช้งานที่ง่าย สะดวก สามารถเลือกได้ทันทีว่าต้องการทำงานเอกสารแบบไหน ในโปรแกรมเดียว ไม่ต้องติดตั้งแยก ในส่วนของการเพิ่มงานเอกสารใหม่ ๆ ก็จะเป็นลักษณะของการเปิดแท็บใหม่ คล้ายกับเว็บเบราว์เซอร์ สะดวก โดยเฉพาะกับใครที่เปิดโปรแกรมหลาย ๆ โปรแกรม ซึ่งมักจะเกิดความสับสนเวลาที่ต้องค้นหา หน้าต่างงานเอกสารที่เปิดไว้ แต่ใน WPS Office ได้รวบรวมงานไว้ในโปรแกรมเดียว ทำให้ง่ายต่อการเข้าถึง
  • ในส่วนของพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูล WPS Office นั้น แม้จะเป็นในเวอร์ชันที่เปิดให้ดาวน์โหลดไปใช้งานได้ฟรี ก็มีพื้นที่จัดเก็บงานเอกสารฟรีมาให้ 1GB ทำให้ผู้ใช้งานมีพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูลบน Cloud และด้วยความเป็น All-in-One โปรแกรม WPS จึงมีขนาดของไฟล์ดาวน์โหลดที่เล็ก ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลว่าความจุที่ให้ฟรีมานั้นจะไม่เพียงพอสำหรับการใช้งานเอกสาร
  • สามารถทำงานได้ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์

การดาวน์โหลดและติดตั้งโปรแกรม

อ้างอิง  https://tinyurl.com/4ys9szct

วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2564

ทำไมเราควรใช้จอ 3:2 ทำงานแทนจอ 16:9

ในปัจจุบัน หน้าจออัตราส่วน 16:9 ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ เพราะเป็นหน้าจอกว้าง ดูหนังได้เต็มหน้าจอ และเป็นอัตราส่วนหน้าจอที่เหมาะกับการเล่นเกมมาก นอกจากนี้ยังหาซื้อได้ง่ายเพราะเป็นอัตราส่วนมาตรฐานของหน้าจอแยกและหน้าจอโน๊ตบุ๊คแทบทุกรุ่นในปัจจุบัน  ขณะที่จอ 3:2 อาจเป็นอัตราส่วนหน้าจอที่ไม่คุ้นเคย

หน้าจออัตราส่วน 16:9 จะไม่ใช่คำตอบ เพราะความกว้างของหน้าจอกับคอนเทนต์บนเว็บไซต์ที่ถูกสร้างขึ้นในแนวตั้งนั้นไม่สัมพันธ์กัน และทำให้เห็นเนื้อหาน้อยกว่าหน้าจออัตราส่วน 3:2 อย่างเห็นได้ชัด 

ทำความรู้จักอัตราส่วนหน้าจอ

หลาย ๆ คนอาจจะรู้จักอัตราส่วนหน้าจอยอดนิยม
- 16:9 ของโน๊ตบุ๊ค Windows หลาย ๆ รุ่น
- 16:10 ของ MacBook

อัตราส่วนหน้าจอของพีซีนั้น จะมีทั้ง 5:4 และ 4:3 และ 3:2 อีกด้วย แต่ปัจจุบันนี้จะมีโน๊ตบุ๊คและแท็บเล็ตไม่กี่รุ่นที่ใช้อัตราส่วนหน้าจอแบบ 3:2 ซึ่งปัจจุบันจะมี Huawei MateBook กับ Microsoft Surface Series  

มาทำความรู้จักอัตราส่วนแต่ละแบบกัน

  • 5:4, 4:3, 16:10 – หน้าจอคอมพิวเตอร์ โดยอัตราส่วนแบบ 5:4 และ 4:3 จะใช้มาตั้งแต่หน้าจอแบบ CRT (Cathode Ray Tubes) จนกระทั่งมีหน้าจอ 16:10 ให้ใช้งานอย่างแพร่หลาย แต่ก็ลดความนิยมไปพอควรเช่นกัน

  • 16:9 – เป็นอัตราส่วนยอดนิยมซึ่งผู้ผลิตสินค้าไอทีส่วนใหญ่ผลิตออกมาขาย มีพื้นที่แนวกว้างให้แสดงผลมาก เหมาะกับการดูหนังและจากการสำรวจฮาร์ดแวร์ของผู้ใช้งานระบบ Steam เมื่อปี 2012 พบว่าเป็นหน้าจอส่วนใหญ่ของเกมเมอร์ในปัจจุบัน

  • 21:9 – หน้าจอแบบกว้างพิเศษ (UltraWide Monitor) ถูกเอามาใช้งานทั้งการทำงานและเล่นเกม และมักเป็นหน้าจอโค้ง มีอัตราส่วนหลากหลายคือ 2560×1080 พิกเซล, 3440×1440 พิกเซล และ 3840×1600 พิกเซล

  • 32:9 – หน้าจอกว้างพิเศษสำหรับเล่นเกม โดย Samsung ผลิตเป็นเจ้าแรก หน้าจอมีความละเอียด 3840×1080 พิกเซล
ในอดีต อัตราส่วนหน้าจอ 3:2 นั้น Apple เคยเอามาใช้กับโน๊ตบุ๊ค PowerBook G4 ที่วางขายตั้งแต่ปี 2001-2006 มาก่อนแล้ว แต่ไม่ได้รับความนิยมนัก Apple จึงเปลี่ยนมาใช้อัตราส่วน 16:10 ใน MacBook ซึ่งวางขายตอนปี 2006 จนถึงปัจจุบันแทน

กลับกันโน๊ตบุ๊คอย่าง Google Pixelbook และ Microsoft Surface ก็กลับมาเลือกใช้อัตราส่วนหน้าจอนี้แทนและค่อย ๆ กลับมาได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่ง DELL ก็เคยมีข่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่าจะเปลี่ยนอัตราส่วนหน้าจอจาก 16:9 มาเป็น 3:2 แทน จุดประสงค์เพื่อเน้นประสบการณ์การใช้ทำงานให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

จะเห็นว่าหน้าจอแบบ 3:2 จะมีพื้นที่แนวตั้งมากกว่า  แต่ก็แนวกว้างแคบกว่าจอแบบ 16:9 ซึ่งใช้งานอย่างแพร่หลายในโน๊ตบุ๊คปัจจุบันหลายรุ่น 

ซึ่งเราสามารถเช็คหน้าจอของเราว่าเป็นหน้าจออัตราส่วนไหนได้ที่หน้าเว็บไซต์ Aspect Ratio Calculator ได้ด้วย (คลิกลิงค์ เพื่อตรวจสอบหน้าจอปัจจุบันว่าเป็นหน้าจอขนาดใด ปกติน่าจะเป็นจอแบบ 16:9)

ทำไมจอ 3:2 ถึงเหมาะกับโน๊ตบุ๊คทำงานมากกว่า?

ถ้าอิงจากดีไซน์ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของเรา จะเห็นว่าสิ่งของ เช่น กระดาษ, นิตยสาร จะใช้อัตราส่วน 3:2 ถ้าเอามาใช้งานท่องเว็บไซต์, ทำงานเอกสารจะเห็นเนื้อหาแนวตั้งมากขึ้น 

ถ้าเราจะเปรียบเทียบหน้าจอทั้งสามอัตราส่วน (16:9, 16:10, 3:2) มาเทียบกันตอนใช้ Coding ดังนี้
  • 16:9   จะแสดงบรรทัดเนื้อหาได้น้อยสุด 
    • เน้นความกว้างแทน ทำให้เราใช้งานด้านเอกสารไม่เต็มที่นัก ดังนั้น ตอนใช้งานก็ต้องมาหมุนเป็นแนวตั้ง สำหรับเปิดดูเอกสารและ Coding 
    • ถ้าใช้ดูหนัง ก็จะมีขอบดำส่วนบนและล่างน้อยสุด
    • เหมาะกับงานการตัดต่อวิดีโอและดูหนัง จอที่กว้างกว่าจะได้เปรียบอย่างชัดเจน เพราะมีขอบดำน้อยและมีพื้นที่ด้านข้างให้เห็น Timeline ที่เราเรียง Footage วิดีโอมากขึ้น ช่วยให้ทำงานได้สะดวกกว่าเดิม
  • 16:10  มีโน๊ตบุ๊คเพียงไม่กี่รุ่นที่ใช้หน้าจออัตราส่วนนี้ เช่น MacBook Air, MacBook Pro
  • 3:2      จะเห็นบรรทัดตอนใช้งานมากสุด  เหมาะกับบล็อกเกอร์, นักบัญชี, พนักงานธุรการและโปรแกรมเ
    • ถ้าใช้ดูหนัง ก็จะมีขอบดำส่วนบนและล่างมากสุด เนื่องจากภาพยนตร์ในยุคนี้ถ่ายทำแบบ Wide Screen กันหมดแล้วเลยทำให้หน้าจอแบบกว้างแสดงผลได้เต็มตากว่า หน้าจอทำงานอัตราส่วน 3:2 ก็จะไม่ตอบโจทย์เรื่องนี้เท่าไหร่ แต่กลับกันถ้าเป็นเรื่องการแต่งภาพและเปิดภาพนิ่งจากกล้องที่ถ่ายด้วยเซนเซอร์ 4:3 จะเป็นอัตราส่วนเดียวกับหน้าจอแบบ 3:2 ทำให้เปิดภาพขึ้นมาได้เต็มหน้าจอกว่าหน้าจอแบบอื่น
คำพูดของ Alan Kay นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวอเมริกันเคยกล่าวเอาไว้ว่า 
People who are really serious about software should make their own hardware.” 
(ใครที่จริงจังเกี่ยวกับซอฟท์แวร์ควรสร้างฮาร์ดแวร์ของตัวเองด้วย

ทำให้เราเห็นสินค้า เช่น Microsoft Surface, Huawei MateBook, Google Pixelbook เพื่อให้ผู้ใช้ได้รู้ว่าประสบการณ์ใช้งานสินค้าจากผู้ผลิตซอฟท์แวร์โดยตรงมีจุดเด่นน่าสนใจด้านไหนบ้าง

สรุป

หน้าจออัตราส่วนไหนก็ใช้ทำงานได้ดีไม่แพ้กัน ขึ้นอยู่กับการเลือกซื้ออุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น หน้าจอกว้างพิเศษ หรือแบบหมุนหน้าจอเป็นแนวตั้งได้ ก็จะช่วยแก้ปัญหาส่วนนี้ไปได้มาก 

แต่อย่างไรก็ตามโน๊ตบุ๊คเป็นอุปกรณ์ใช้งานซึ่งอาจจะไม่เปลี่ยนกันบ่อย ๆ หากทำการบ้านให้ดีก่อนเลือกซื้อก็จะทำให้เราใช้งานได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้นแน่นอน

อ้างอิง https://tinyurl.com/3by74wwd