วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ใช้งาน Microsoft office ฟรี

 หากใครกำลังคิดหนัก จะใช้งาน Microsoft แล้วต้องหาแคร็คหรือเสียค่าใช้จ่ายรายเดือนเพื่อใช้งาน ตัดปัญหานั้นออกไปก่อนเลนครับ เพราะ Microsoft มี office online ให้ใช้งานฟรีคล้ายกับบริการของ Google เลย

Office online มีตัวเลือกให้ใช้งานหลักๆ ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Word , Excel , Power Point , onenote  รวมทั้งบริการให้เลือกใช้งานเพิ่มอย่างเช่น To do , Skype , Team 

วิธีการใช้งานคือ

1.ไปที่ office Online 

2.ใครมีบัญชี Microsoft อยู่แล้ว ให้กด Sign in  แต่หากใครยังไม่มี  ก็สมัครก่อน

3.เมื่อ Log in เข้ามาได้แล้ว 

4.เราสามารถกด +  และกด Create แล้วเลือกว่าจะเลือกใช้งานโปรแกรมต่างๆ ได้เลย

5.เมื่อกดเข้าไปที่ Word จะมี Template ให้เลือกใช้งาน แต่บางอันต้องเสียเงินเป็นแบบ Premium ถึงจะใช้งานได้ 

6.เครื่องมือในแท็ป เรียกได้ว่าก็มีให้ใช้แบบพื้นฐานครบครัน

7.วิธีการบันทึกก็กดไปที่ไฟล์ เลือก บันทึกเป็น สามารถบันทึกเข้าไปใน Onedrive ของ Microsoft ได้ หรือจะดาวน์โหลดเอกสารลงในเครื่องก็ได้ โดยจะโหลดมาเป็นนามสกุล .docx  ซึ่งสามารถเปิดกับโปรแกรม Word ได้ในทุกเวอร์ชั่น

หมายเหตุ : หากเราเซฟลง Onedrive จะเก็บได้มากสุด 5GB นะ แต่หากต้องการพื้นที่เพิ่ม  ต้องเสียเพิ่มประมาณ 70 บาทต่อเดือน จะได้ 100 GB แต่หากใครเก็บแค่ไฟล์เอกสารอย่างเดียว คิดว่าไม่จำเป็นต้องเพิ่มก็ได้นะ 5GB นี่เก็บไฟล์เอกสารได้หลายพันฉบับเลย ยกเว้นไฟล์ที่มีภาพเยอะๆ  

อ้างอิง   https://tinyurl.com/2wuhnydj

เคล็ดลับในการใช้งานโทรศัพท์มือถือ

Google  มีข้อแนะนำสำหรับการใช้โทรศัพท์มือถืออย่างไรให้ปลอดภัย  ซึ่งเป็น 5 เคล็ดลับที่ผู้ใช้งานสามารถทำตามได้อย่างง่ายดาย แต่สามารถช่วยให้การใช้งานโทรศัพท์มือถือปลอดภัยได้เป็นอย่างดี

1. ล็อกโทรศัพท์

การตั้งค่าการล็อกหน้าจอช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับโทรศัพท์มือถือในกรณีที่เผลอลืมวางทิ้งไว้ หรือกังวลว่าจะมีคนอื่นหยิบไปและเปิดดูข้อมูลต่างๆ โดยไม่ได้รับอนุญาต คุณสามารถล็อกโทรศัพท์ด้วย PIN รหัสผ่าน หรือรูปแบบการวาดเส้น (Pattern) โดยไปที่การตั้งค่า > ส่วนตัว > ความปลอดภัย > ล็อกหน้า

2 ค้นหาโทรศัพท์ที่หายไป

โปรแกรมจัดการอุปกรณ์ Android (Android Device Manager) ช่วยให้ค้นหาตำแหน่งโทรศัพท์ ทำให้โทรศัพท์ส่งเสียง หรือล้างข้อมูลในอุปกรณ์จากระยะไกลได้ง่าย เช่น จากคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป เป็นต้น หากโทรศัพท์ของคุณหายไป โปรแกรมจัดการอุปกรณ์ Android จะช่วยระบุตำแหน่งและแสดงตำแหน่งโดยประมาณของโทรศัพท์บน Google Maps นอกจากนี้ คุณยังสามารถเลือกให้โทรศัพท์ส่งเสียงที่ระดับเสียงสูงสุดเป็นเวลา 5 นาที แม้จะตั้งค่าเป็นโหมดเงียบหรือสั่นไว้ก็ตาม ด้วยวิธีนี้ คุณสามารถค้นหาตำแหน่งของโทรศัพท์ที่วางไว้ผิดที่ได้ เพียงไปที่ android.com/devicemanager

3. ข้าถึงเนื้อหาที่ปลอดภัย

หากคุณมีบุตรหลานที่ใช้โทรศัพท์ของคุณ ขอแนะนำให้เปิดฟีเจอร์ค้นหาปลอดภัย (SafeSearch) เพื่อช่วยกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็ก แม้ว่าจะไม่มีตัวกรองใดที่ทำงานได้สมบูรณ์แบบ 100% แต่การเปิดตัวกรองก็ช่วยบล็อกผลการค้นหาที่ไม่เหมาะสมได้ สำหรับ Google Chrome ให้เลือก “การตั้งค่า” ตามด้วย “ความเป็นส่วนตัว” แล้วเลือก “Safe Browsing” สำหรับแอป Google ให้ไปที่ “การตั้งค่า” จากนั้นเลือก “บัญชีและความเป็นส่วนตัว” และเปิดใช้งาน “ตัวกรองค้นหาปลอดภัย” ส่วนใน YouTube เลือก “การตั้งค่า” ตามด้วย “ทั่วไป” จากนั้นเลือก “โหมดที่จำกัด” 

4. ป้องกันการซื้อที่ไม่ได้ตั้งใจหรือไม่พึงประสงค์

ใน Google Play Store ผู้ใช้สามารถตั้ง​ค่าได้ว่าจะให้ระบบถามรหัสผ่านบ่อยแค่ไหน ผู้ใหญ่อาจไม่ต้องการถูกถามถึงรหัสผ่าน แต่ผู้ปกครองที่บุตรหลานชอบเล่นโทรศัพท์จะต้องได้รับการแจ้งเตือนทุกครั้ง คุณสามารถตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ตั้งค่าตามที่คุณต้องการโดยไปที่แอป Google Play Store เพียงแตะไอคอน Google Play Store จากนั้นไปที่การตั้งค่า ในส่วน “การควบคุมผู้ใช้” ให้แตะ “ต้องมีการตรวจสอบสิทธิ์สำหรับการซื้อ” เลือกการตั้งค่ารหัสผ่าน: “สำหรับการซื้อทั้งหมด” จากนั้นก็พิมพ์รหัสผ่านของคุณ ง่ายๆ เพียงเท่านี้

5. ตรวจสอบความปลอดภัย

วิธีง่ายๆ ในการตรวจสอบและจัดการการตั้งค่าความปลอดภัยของบัญชี Google คือการตรวจสอบความปลอดภัย (Security Checkup) คุณสามารถเพิ่มข้อมูลการกู้คืนเพื่อช่วยให้เราติดต่อกันได้หากคุณเข้าบัญชีไม่ได้ การอนุญาตสิทธิ์เข้าถึงบัญชีช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของแอป เว็บไซต์ และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับบัญชี Google ของคุณ ลองเข้าไปดูและทำให้แน่ใจว่าคุณไว้วางใจและใช้งานแอป เว็บไซต์ และอุปกรณ์เหล่านั้นทั้งหมดจริงๆ

อ้างอิง  https://tinyurl.com/46tk5nby

วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2564

แยกเสียง กับ ดนตรี ออกจากกัน

 เป็นเว็บไซต์ที่น่าสนใจ เป็นเว็บเดียวทำได้ทั้งตัดเสียงร้อง หรือตัดเสียงดนตรีในเวลาเดียวกัน

วิธีการ

1. โดยเข้าเว็บไซต์ https://vocalremover.org/ 

2. จากนั้นคลิก browse my files แล้วเลือก ไฟล์เพลงที่มีเสียงคนร้องปกติได้เลย เพื่อให้ทางเว็บไซต์นั้นแยกเสียงให้

3. จากนั้รอประมาณ 10 วินาที จะขึ้นเป็นกราฟเสียง แล้วฟังผลลัพธ์ดูว่า หลังตัดเสียงคนร้องเหลือแต่ดนตรีนั้นเป็นอย่างไร

     3.1  สามารถคลิกที่ Music เพื่อดาวน์โหลดเฉพาะบรรเลงดนตรี โดยไม่มีเสียงร้อง ไว้ใช้ร้องคาราโอเกะได้เลย

     3.2  หรือคลิกที่ Vocals เพื่อโหลดเฉพาะเสียงร้อง โดยไม่มีเสียงดนตรี

4. เสร็จแล้วคลิกที่ X ระบบจะถามยืนยันเพื่อลบไฟล์เพลงออกจากเว็บ

แค่นี้ก็ได้ไฟล์เพลงที่ไม่มีคนร้อง ไว้สำหรับร้องคาราโอเกะแล้ว หรือไฟล์สำหรับเสียงคนร้องอย่างเดียวไว้สำหรับฟังเสียงคนร้องเท่านั้น ทั้งนี้เบื้องหลังการแยกเสียงนั้นโดยใช้ AI วิเคราะห์เสียงร้อง กับเสียงดนตรี แยกออกจากกันได้ ลองไปใช้งานดูใช้ฟรี

อ้างอิง  https://tinyurl.com/rdx3sbhx

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2564

โปรแกรมแอนตี้ไวรัสฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

เรื่องควรรู้ก่อนที่จะดาวน์โหลดโปรแกรมแอนตี้ไวรัส

ถึงแม้จะเป็นโปรแกรมฟรี แต่ผู้พัฒนาส่วนใหญ่ก็ต้องการหารายได้ ดังนั้นผู้พัฒนาส่วนใหญ่ก็ย่อมหาช่องทางสร้างรายได้ด้วยหลากหลายวิธี ก็มีอยู่ 3 สิ่งที่เราพึงระวัง

1. จ่ายเงินอัปเกรด

โปรแกรมแอนตี้ไวรัสส่วนใหญ่จะพยายามชักจูงให้คุณจ่ายเงินเพื่ออัปเกรดผ่านหน้าต่างแจ้งเตือน หรืออีเมล ก็อย่าไปสนใจ ใช้แบบฟรีไปเรื่อยๆ นี่แหละ แต่ถ้าใช้แล้วถูกใจ อยากได้ฟีเจอร์เพิ่ม จะจ่ายเงินอัปเกรดก็จัดไป

2. แถบเครื่องมือ (Toolbar) และ ส่วนขยายของเว็บเบราว์เซอร์ (Browser Extension)

นี่เป็นหนึ่งในปัญหาโลกแตกที่ทำให้โปรแกรมที่ปลอดภัยหลายๆ ตัว ถูกกล่าวหาว่ามีไวรัส มี มัลแวร์ (Malware) อันที่จริง โดยส่วนใหญ่แล้วไอมัลแวร์ที่ว่าก็จะเป็นซอฟต์แวร์พวกที่เป็น แถบเครื่องมือ (Toolbar) และ ส่วนขยายของเว็บเบราว์เซอร์ (Browser Extension) นี่แหละ แต่ปกติแล้ว เราสามารถเลือกที่จะไม่ติดตั้งของแถมไม่พึงประสงค์เหล่านี้ได้ ปัญหา คือ หลายคน "คลิก Next" อย่างเดียว ไม่อ่านอะไรเลย พอได้ของแถมไป ก็ออกมาโวยวายซะงั้น

3. เลือกใช้งานโปรแกรมแอนตี้ไวรัสเพียงตัวเดียวพอ

ส่วนใหญ่แล้ว โปรแกรมพวกนี้ถ้าติดตั้งหลายตัวพร้อมกันมักจะทำงานขัดแย้งกัน ทำให้ระบบมีปัญหาได้ ควรเลือกติดตั้งเพื่อใช้งานแค่ทีละตัวนะครับ

ถ้าเข้าใจเงื่อนไข 3 ข้อด้านบนแล้ว ก็มาเลือกกันเลยว่าจะใช้โปรแกรมแอนตี้ไวรัสตัวไหนดี

10 โปรแกรมแอนตี้ไวรัสฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

1. โปรแกรม TotalAV (Windows / macOS)

โปรแกรมแอนตี้ไวรัสแบบฟรีที่มีคุณสมบัติให้มาเหมือนกับตัวจ่ายเงิน ได้รับคำชมจากหลายสำนัก และมียอดจำนวนผู้ใช้กว่า 25 ล้านคนทั่วโลก มีทั้งการป้องกันแบบเรียลไทม์, ตรวจจับมัลแวร์, ป้องกันมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ฯลฯ 

ดาวน์โหลดโปรแกรม TotalAV


2. โปรแกรม Kaspersky Security Cloud Free (Windows)

Kaspersky Security Cloud Free เป็นแอนตี้ไวรัสแบบฟรีที่ Kaspersky ปล่อยออกมาให้ใช้งานแทนโปรแกรมตัวเดิมอย่าง Kaspersky Free Antivirus

รองรับการสแกน และลบมัลแวร์ต่างๆ ลูกเล่นไม่เยอะเท่าตัวเสียเงิน แต่จุดเด่นน่าจะอยู่ที่มีให้ใช้งานทั้งบนคอมพิวเตอร์ และสมาร์ทโฟนเลย

ดาวน์โหลดโปรแกรม Kaspersky Security Cloud Free


3. โปรแกรม Avira Free Antivirus (Windows / macOS)

แอนตี้ไวรัส Avira หรือที่หลายคนนิยมเรียกกันว่า โปรแกรมแอนตี้ไวรัสร่มแดง (Red Umbrella Antivirus) เป็นโปรแกรมแอนตี้ไวรัสยอดนิยม ตัวโปรแกรมใช้งานง่าย และมีหน้าตาที่สวยงาม จากผลการทดสอบล่าสุดของ AV-Comparatives ได้ระบุว่า Avira (เวอร์ชัน Pro) สามารถปกป้องได้ถึง 99.9% เลยทีเดียว ก็คาดหวังว่าเวอร์ชันฟรีก็น่าจะมีประสิทธิภาพที่ดีไม่แพ้กัน

โปรแกรมนี้มีระบบกำหนดเวลาสแกนล่วงหน้าที่ตั้งค่าได้อย่างง่ายดาย อย่างการตั้งให้สแกนอย่างรวดเร็วทุกวัน และสแกนแบบละเอียดอาทิตย์ละครั้งเป็นต้น เมื่อรวมกับความสามารถในการปกป้องแบบ Real-time มันก็น่าจะทำหน้าที่เฝ้าระวังภัยให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณได้เป็นอย่างดี

ดาวน์โหลดโปรแกรม Avira Free Antivirus

Windows : https://www.avira.com/en/free-antivirus-windows
macOS : https://www.avira.com/en/free-antivirus-mac

4. โปรแกรม Bitdefender Antivirus Free (Windows / macOS)

โปรแกรม Bitdefender Antivirus Free เป็นอีกหนึ่งโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่ในเวอร์ชันได้ผลทดสอบการป้องกันสูงถึง 99.9% สำหรับเวอร์ชันฟรีของโปรแกรม Bitdefender นั้นมีคุณสมบัติเด่นอย่างการตรวจจับมัลแวร์ และตรวจจับฟิชชิ่ง (ล่อหลอกลวงพราง) ในขณะที่หน้าตาโปรแกรมค่อนข้างเรียบง่าย ไม่มีตัวเลือกที่ดูยุ่มย่าม อีกทั้งยังออกแบบมาให้ใช้ทรัพยากรเครื่องในการทำงานต่ำอีกด้วยล่ะ

ดาวน์โหลดโปรแกรม Bitdefender Antivirus Free

Windows : https://www.bitdefender.com/solutions/free.html
macOS : https://apps.apple.com/th/app/bitdefender-virus-scanner/id500154009?mt=12

5. โปรแกรม Avast Free Antivirus (Windows / macOS)

แม้ว่า Avast จะได้รับผลการทดสอบในการป้องกันต่ำกว่า 2 ตัวแรกที่เราหยิบมาแนะนำไปเล็กน้อย (98.9%) แต่มันก็ยังถือว่าเป็นคะแนนที่ค่อนข้างสูงมากอยู่ดี จุดแข็งหลักของ Avast คือการใช้ทรัพยากรเครื่องในการทำงานที่ต่ำมาก ทำให้เราใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ได้เหมือนปกติ ไม่รู้สึกช้าลงแต่อย่างใด

ตัวโปรแกรมใช้งาน และติดตั้งง่าย ใครที่กำลังมองหาโปรแกรมแอนตี้ไวรัสฟรีมาใช้งาน โปรแกรมนี้ถือว่าน่าสนใจมากทีเดียว

ดาวน์โหลดโปรแกรม Avast Free Antivirus

Windows : https://www.avast.com/lp-ppc-hp-v4?ppc_code#pc
macOS : https://www.avast.com/lp-ppc-free-mac-security-download#pc

6. โปรแกรม AVG Free Antivirus (Windows / macOS)

โปรแกรม AVG Free Antivirus สามารถทำคะแนนในการทดสอบได้ดี (98.9%) และใช้ทรัพยากรเครื่องในการทำงานต่ำ แม้ว่าจะมีฟีเจอร์ที่เราอาจจะไม่ได้ใช้อย่างเครื่องมือล้างไฟล์ขยะในระบบ และแอปแอนตี้ไวรัสสำหรับใช้บนสมาร์ทโฟนแถมมาด้วย แต่โดยรวมแล้วมันก็เป็นโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่น่าใช้งานอยู่นะ

แต่อย่างไรก็ตาม เราอาจจะเจอหน้าต่างเชิญชวนอัปเกรดเด้งมารบกวนบ้าง แต่ถ้ามองว่ามันช่วยให้เราอัปเกรดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้ง่ายขึ้น มันก็โอเคแหละ

ดาวน์โหลดโปรแกรม AVG Free Antivirus

Windows : https://www.avg.com/en-ww/free-antivirus-download
macOS : https://www.avg.com/en-us/avg-antivirus-for-mac

7. โปรแกรม Adaware Antivirus (Windows)

โปรแกรม Adaware Antivirus เป็น โปรแกรมแอนตี้ไวรัสตัวนี้ในเวอร์ชันโปรทำคะแนนได้สูงถึง 99.3% ทำให้เราเชื่อมั่นได้ว่ามันจะคุ้มครองคอมพิวเตอร์ของเราได้เป็นอย่างดี แม้ว่าโปรแกรมนี้จะใช้ทรัพยากรเครื่องสูงกว่าโปรแกรมอื่น แต่ก็ถือว่าน่าใช้งานมากทีเดียวสำหรับผู้ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows

ในขณะที่เวอร์ชันเสียเงินของโปรแกรมนี้จะเพิ่มการป้องกันให้กับเว็บไซต์, อีเมล และมีไฟร์วอลให้ใช้งานด้วย ซึ่งจ่ายเพิ่มก็ไม่แพงเท่าไหร่เลย

ดาวน์โหลดโปรแกรม Adaware Antivirus

Windows : https://www.adaware.com/free-antivirus-download

8. โปรแกรม Trend Micro HouseCall (Windows / macOS)

ปรแกรม Trend Micro HouseCall เป็นโปรแกรมป้องกันไวรัสที่ใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องติดตั้งจาก Trend Micro สามารถใช้งานได้เลยทันทีหลังจากดาวน์โหลดมา แถมยังสามารถสแกนไปยังอุปกรณ์ IoT ที่มีอยู่ในเครือข่ายได้ด้วยนะ ข้อเสียก็เหมือนกับโปรแกรมตัวก่อนหน้านี้ คือ ไม่สามารถปกป้องแบบ Real-time ได้ หากคุณคิดว่าเครื่องของคุณน่าจะโดนโจมตีอยู่ ก็ลองดาวน์โหลดมันมาสแกนเพื่อตรวจสอบได้

นอกจากนี้แล้วทาง Trend Micro ยังมีเครื่องมือดีๆ ที่ดาวน์โหลดมาใช้งานได้ฟรีอีกเพียบ อย่าง เครื่องมือการป้องกันมัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Anti-ransomware Toolkit) เครื่องมือป้องกันเว็บเบราว์เซอร์ (Browser Guard) และ เครื่องมือปราบรูทคิท (Rootkit Buster)

ดาวน์โหลดโปรแกรม Trend Micro HouseCall

Windows : https://www.trendmicro.com/th_th/forHome/products/housecall.html
macOS : https://www.trendmicro.com/th_th/forHome/products/housecall.html

9. โปรแกรม Malwarebytes Anti-Malware (Windows / macOS)

โปรแกรมแอนตี้ไวรัส จากค่าย Malwarebytes นั้นมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับมานานแล้ว และสำหรับ โปรแกรม Malwarebytes Anti-malware จากค่ายนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง มันมีความสามารถในการตรวจจับ Adware ที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ข้อดีอีกอย่างของโปรแกรมนี้มีขนาดไฟล์ที่เล็กมาก แถมยังสแกนได้อย่างว่องไวอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เวอร์ชันฟรีคุณจะต้องสั่งสแกนด้วยตนเองเท่านั้น ถ้าอยากให้มันป้องกันแบบสดๆ เดี๋ยวนั้น หรือที่เรียกว่าเรียลไทม์ (Real-time) ล่ะก็ต้องจ่ายเงินอัปเกรดเท่านั้น แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น โปรแกรมนี้ก็ถือว่าเจ๋งอยู่ดีนะครับ

ดาวน์โหลดโปรแกรม Malwarebytes Anti-Malware

Windows : https://www.malwarebytes.com/premium/
macOS : https://www.malwarebytes.com/mac/

10. โปรแกรม ZoneAlarm Free Antivirus (Windows)

นอกเหนือจากความสามารถในการป้องกันไวรัสแบบพื้นฐานแล้ว โปรแกรม Zone Alarm Free Antivirus ก็ยังมาพร้อมกับ Firewall แบบพื้นฐานให้เราใช้อีกด้วย ซึ่งหาได้ยากในโปรแกรมแอนตี้ไวรัสแบบแจกฟรี แถมยังมีระบบป้องกันการขโมยข้อมูลจากหน้าเว็บอันตรายให้ใช้อีกด้วย

ดาวน์โหลดโปรแกรม ZoneAlarm Free Antivirus

Windows : https://www.zonealarm.com/software/free-antivirus

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2564

จดบันทึกบน Google Keep

Google Keep เป็นแอปพลิเคชันสำหรับจดบันทึกสิ่งต่างๆ ที่ได้รับการออกแบบให้มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถจดรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างสะดวก 

จดบันทึกด้วยเสียง จดบันทึกพร้อมใส่รูปภาพ ตั้งเตือนกิจกรรมที่ต้องทำ แชร์บันทึกกับบุคคลอื่นที่ต้องการ ซึ่งสามารถใช้งานได้ทุกที่ ทุกเวลา บนทุกๆ อุปกรณ์ ไม่ว่าจะบนคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต แค่ล็อกอินบัญชี Google ไว้เท่านั้น 

และนี่คือ 7 ฟีเจอร์ที่จะช่วยให้การใช้งาน Google Keep มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

1. จัดกลุ่มไอเดียให้เป็นระเบียบได้ ง่ายนิดเดียว

Google Keep มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแบ่งและจัดกลุ่มของบันทึกและไอเดียต่างๆ ให้เป็นระเบียบได้ง่ายๆ เช่น การใส่แฮชแท็ก (#) ก็จะสามารถจัดกลุ่มและค้นหาบันทึกต่างๆ ที่สัมพันธ์กันได้อย่างรวดเร็ว

2. พิมพ์ไม่ทัน เขียนได้ หรืออัดเสียงไว้ ได้หมด

และในบางครั้ง การพิมพ์บันทึกข้อความอาจจะไม่รวดเร็วทันใจ Google Keep จึงมีฟีเจอร์ที่ให้ผู้ใช้สามารถเขียนลงบนหน้าจอ หรืออัดเสียงพูด โดย Google Keep จะช่วยพิมพ์ข้อความที่ผู้ใช้งานพูดไปพร้อมๆ กันด้วย

3. แปลงลายมือเป็นตัวอักษร ก็ทำได้นะ

สำหรับการเขียนหน้าจอนั้น Google Keep ยังสามารถแปลงข้อความที่ถูกเขียนออกมาเป็นตัวอักษรได้อีกด้วย เพียงกดปุ่มจุดสามจุดที่มุมขวาบน แล้วเลือก “จับข้อความจากรูปภาพ” (ยังไม่เปิดให้บริการในภาษาไทย)

4. เจอบทความที่น่าสนใจ บันทึกเก็บไว้ได้เลย

ถ้าเจอบทความที่น่าสนใจในหนังสือก็สามารถบันทึกไว้ใน Google Keep ได้ง่ายๆ โดยเลือกรูปภาพจากเมนูด้านล่าง และเลือกถ่ายภาพ เพียงเท่านี้ก็สามารถเขียนบันทึกส่วนที่น่าสนใจได้อย่างรวดเร็ว

5. ตั้งเตือนได้ ไม่พลาดทุกกิจกรรม

นอกจากนี้ Google Keep ยังสามารถตั้งเวลาเตือนจากบันทึกได้ เพื่อให้ผู้ใช้งานไม่พลาดทุกกิจกรรมที่ต้องทำ ซึ่งสามารถตั้งค่าได้ง่ายๆ โดยกดที่รูปกระดิ่ง และเลือกวันที่และเวลาที่จะให้เตือนได้ทันที

6. ปักหมุดโน้ตสำคัญไว้ ให้เห็นได้ชัด

สำหรับบันทึกสำคัญๆ ที่ต้องใช้บ่อยๆ ก็สามารถทำการปักหมุดให้อยู่ด้านบนสุด พร้อมทั้งสามารถเลือกใช้สีในแต่ละบันทึกเพื่อแยกให้เห็นชัดได้อีกด้วย เพียงกดค้างที่บันทึกที่ต้องการ กดรูปหมุด และกดจานสีเพื่อใส่สีลงในบันทึก 

7. แชร์โน้ตทิ้งไว้ แก้ไขร่วมกันได้ทีหลัง

นอกจากนี้ ผู้ใช้งานยังสามารถแชร์บันทึกบน Google Keep ให้คนในครอบครัว เพื่อน หรือเพื่อนร่วมงาน เข้ามาใช้งานร่วมกันได้ด้วย ตั้งค่าโดยกดจุดสามจุดที่มุมขวาล่าง จากนั้นเลือก “ผู้ทำงานร่วมกัน” และเลือกรายชื่อที่ต้องการแชร์บันทึก

อ้างอิง  https://tinyurl.com/49ajwxab